ถ้าไม่รู้เรื่องอะไร ให้ลุยเข้าไปทำด้วยความโง่ขั้นสุด
ลองปล่อยให้ตัวเองรับหมัดซัก 10 - 20 หมัด เดี๋ยวเราก็จะรู้และเข้าใจไปเอง
(ปลอบใจตัวเองด้วยคำคม)
EP นี้มาต่อกัน
หลังจากที่เราโง่นำกระดาษ Laser มาปริ๊นต์ด้วยเครื่อง Inkjet และนำกระดาษ Inkjet ไปปริ๊นต์ด้วยเครื่อง Laser
ก็ได้เวลาหาความรู้เกี่ยวกับเครื่องทั้งสอง เจ็บแล้วต้องไม่เจ็บซ้ำ
จะได้รู้ซะทีว่าทำไมเครื่องทั้งสองมันถึงสมานฉันท์กันไม่ได้ฟะ ทั้งๆที่เราอยู่ในยุค AI กันแล้ว
Laser Printer คือ เครื่องปริ๊นต์ที่ใช้ "แสงเลเซอร์" และไฟฟ้าสถิตย์ ร่วมกับผงหมึก (Toner)
หรือสั้นสั้นคือ แสงแอนด์ผง
เมื่อเราสั่งปริ๊นต์ไปที่เครื่องเลเซอร์ ข้อมูลจะทั้งตัวอักษรและภาพจะถูกส่งไปให้เครื่อง
มันจะยิงแสงเลเซอร์วาดลวดลายลงบนลูกดรัม (Drum) ซึ่งบนลูกดรัมนี้จะมีประจุคล้ายแม่เหล็กไฟฟ้า พร้อมที่จะดูด!
จังหวะนี้เอง ผงหมึก (Toner) จะถูกปล่อยออกมา แล้วถูกดูดติดป๊าปเข้าไปตรงจุดที่เลเซอร์วาดไว้
ทั้งสองสิ่งมาเจอกันแล้ว แสง และ สี แต่มันยังไม่จบแค่นั้น
กระดาษที่เราฟีดใส่เครื่องจะวิ่งผ่านลูกดรัม ผงหมึกที่ติดอยู่บนดรัมจะย้ายไปติดบนกระดาษแทนทันที หรือเรียกว่า "พิมพ์"
กระดาษพร้อมผงหมึกโลดแล่นไปด้วยกันผ่านด่านสำคัญอย่าง "ฟิวเซอร์" หรือพี่แท่งศักดิ์สิทธิ์แห่งความร้อน
กระทำการอบหมึกผงให้ละลายติดแน่นกับกระดาษอย่างถาวร "ลาก่อนลูกดรัม" สีกล่าว
แล้วทำไมต้องกระดาษเฉพาะสำหรับ Laser Printer?
เพราะกระดาษ Laser คือกระดาษที่ไม่เคลือบอะไรเลย! มันทั้งบริสุทธิ์และเรียบเนียนแบบไม่มีอะไรมากั้น
ความเรียบนี้เพื่อให้ผงหมึกมา "เกาะชั้นสิ" ได้อย่างเต็มคาราเบล
นอกจากนี้กระดาษพวกนี้ยังทนทานต่อความร้อนได้
เมื่อเครื่องปริ๊นต์เลเซอร์ใช้ความร้อนเพื่อละลายผงหมึก กระดาษเลเซอร์ก็ไม่ตกนรกหมกไหม้ตามไปนั่นเอง
หากจะมีอะไรที่เคลือบอยู่บนกระดาษเลเซอร์ ก็คงจะมีเพียง โพลิเมอร์บางชนิดที่ช่วยให้กระดาษทนร้อนขึ้นไปอีกก็แค่นั้น
เรียกได้ว่าคุณสมบัติหลักของกระดาษเลเซอร์ก็คือ การเรียบอย่างไม่มีอะไรมากั้นนั่นเอง
โอ้โห อันนี้พอรู้ความจริงแล้วมันช่างต่างกันลิบโลก
เพราะเครื่องปริ๊นต์แบบ Inkjet ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าทำงานกับน้ำหมึก (Ink)
เมื่อเราสั่งปริ๊นต์ เครื่องจะรับข้อมูลแล้วสั่งให้หัวพ่นจิ๋วฉีดพ่นละอองน้ำหมึกขนาดเล็กจัด เล็กระดับไมครอนลงไปยังกระดาษ
โดยหลักการแล้ว หมึกซึ่งเป็นของเหลวจะซึมลงกระดาษนั่นเอง แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ
ในขณะที่ Laser ต้องการกระดาษที่เหมือนผิวหน้าสาวบริสุทธิ์ ไม่อะไรมาเคลือบไว้ แต่เครื่อง Inkjet กลับต้องการกระดาษอีกแบบ
แล้วกระดาษ Inkjet เป็นยังไง?
เพื่อให้สีเครื่องสำอางสวยติดผิวหน้าอย่างแจ่มชัด
สาวๆเลยต้องลงตัวช่วยรับสีอย่าง Primer เพื่อให้ช่วยให้สีเมคอัพที่ทาทับไปสดคมชัด แก้มชมพูปากแดง ตาสีสโมกกี้
กระดาษ Inkjet ก็เช่นกัน พวกมันต้องการสารพิเศษมาเคลือบบนผิวกระดาษ
เพื่อรองรับน้ำหมึกเหล่านั้นไว้ไม่ให้ซึมหายวับไปในเยื่อกระดาษ
สารพิเศษเหล่านี้จะจะยึดสีไว้ให้กระจุกอยู่บนผิวกระดาษ ไม่ทะลุ งานที่ได้เลยคมชัดกริ๊บ 4K
จนแม้แต่วงการภาพถ่ายเค้ายังต้องใช้เครื่องปริ๊นต์ระบบ Inkjet กันอยู่เลย
มิน่าล่ะ
กระดาษหมายเลข 1 (จากตอนที่แล้ว) ของเรา ที่มาพบภายหลังว่าเป็นกระดาษเลเซอร์
พอเข้าเครื่อง Inkjet หมึกเลยเยิ้มอยู่หน้าผิว เพราะไร้ซึ่งสารพิเศษช่วยรับน้ำหมึกไว้
ก่อนหน้านี้เคยเห็น Artist สาวฝรั่งซื้อเครื่อง Inkjet มาใช้พิมพ์งานศิลปะของเธอ แต่น่าจะเป็นเพราะใช้กระดาษผิดเหมือนเรา
งานศิลป์ของเธอเลยออกมาเยิ้มเละเทะ จนได้แต่ถ่ายคลิปด่าปริ๊นเตอร์ แล้วพูดว่า waste waste waste!!
ส่วนกระดาษหมายเลข 2 (จากตอนที่แล้ว) ก็มารู้ทีหลังเช่นกันว่ามีเคลือบผิวแบบกระดาษ Inkjet
เรานำไปพลีชีพใส่ในเครื่องปริ๊นต์ Laser ของออฟฟิส
หมึกผงที่ลูกกลิ้งดรัมส่งมาเลยไม่ติดกระดาษซักนิด เพราะโดนสารเคลือบผิวบังไว้
ผงสีเหมือนกับแค่มาวางเล่นๆบนกระดาษ พอเอามือลูบก็หล่นเกลื่อน
ความจริงที่มารู้ในภายหลังอีกอย่างก็คือ สิ่งที่พลีชีพอาจไม่ใช่กระดาษ!!
เพราะเมื่อเราเอากระดาษมีสารเคลือบผิวฉ่ำอย่างกระดาษ Inkjet ไปเข้าเครื่อง Laser
ความร้อนอาจละลายสารนั้นจนเหลวติด Fuser และทำให้เครื่องปริ๊นต์ทั้งเครื่องพลีชีพ และไปหวัน(สวรรค์) แทน
ส่วนค่าซ่อมนั้นแพงบรรลัยเลยล่ะจะบอกให้
❌โชคดีจริงๆที่เครื่องไม่เป็นไร
✅ โชคดีจริงๆที่เราลาออกมาแล้ว ก่อนที่เขาจะจับได้
ถึงจุดนี้ลำแสงแห่งปัญญาได้ฉายออกมาจากหัวโง่ๆของเราแล้ว
สรุปคือ...
กระดาษ Laser ต้องใช้กับเครื่อง Laser และกระดาษ Inkjet ต้องใช้กับเครื่อง Inkjet จบ!
หน้าแพ็กเค้าก็เขียนไว้แล้ว คุณอ่านมาถึงตรงนี้ก็คงอยากตบหัวเราแล้วบอกว่า รู้มาตั้งนานแล้ว (ว้อย)
แต่ช้าก่อน ถ้ามันตื้นๆแค่นี้ เราไม่เรียกโลกของการปริ๊นต์ว่าเมืองลับแลหรอก
หายนะอีกเพียบยังรออยู่ มาเจ็บกับต่อ EP หน้า